สารให้ความหวาน ปัจจุบันมาแรงมากในหมู่ผู้ดูแลสุขภาพ หรือแม้แต่กลุ่มผู้ที่เป็นเบาหวาน เพราะความหวานจากน้ำตาลนั้น เป็นเพชฆาตตัวดี ที่บั่นทอนอายุของเราได้ร้ายมากกว่าบุหรี่เสียอีก และน้ำตาลยังเป็นศัตรูอันดับ 1 ของสุขภาพ อีกทั้งยังเป็นตัวก่อโรคภัยมากมายให้คนในยุคนี้
SGECHEM จะพาไปรู้จักการเลือกสารให้ความหวานแบบต่าง ๆ แบบละเอียด ทั้งความหวานตามธรรมชาติ และแบบสังเคราะห์ ตามไปดูกันเลยดีกว่า
สารให้ความหวานแทนน้ำตาล (Non-nutritive sweeteners)
เป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นมา ไม่ได้เป็นผลผลิตมาจากธรรมชาติ หรือบางส่วนอาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ (จากพืช) ซึ่งเป็นเครื่องปรุงรสทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ
ดังนั้น เรามาทำความรู้จักสารให้ความหวานแทนน้ำตาล (Non-nutritive sweeteners) กันมากขึ้นดีกว่า!
สารให้ความหวานแทนน้ำตาล(Non-nutritive sweeteners) คือ สารที่มีรสชาติหวาน ส่วนมากจะหวานกว่าน้ำตาล ซึ่งเป็นสารที่ไม่ให้พลังงาน หรือพลังงานที่ต่ำกว่า มักพบได้ในอาหารเสริมชนิดต่าง ๆ เช่น อาหารเสริมวิตามิน, อาหารเสริมสารต่อต้านอนุมูลอิสระ, อาหารเสริมเพื่อการลดน้ำหนัก หรือ พบในเครื่องดื่ม เช่น เครื่องดื่มน้ำอัดลม ลูกอมบางชนิด
สารให้ความหวานแทนน้ำตาล(Non-nutritive sweeteners) แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. สารให้ความหวานแทนน้ำตาลแบบธรรมชาติ เช่น Sorbitol, Xylitol, Erythritol, Stevia glycosides, Maple syrup, น้ำผึ้ง, น้ำตาลมะพร้าว, สารสกัด, หล่อฮังก๊วย และอินทผลัม | |
2. สารให้ความหวานแทนน้ำตาลแบบสังเคราะห์ เช่น Aspatam, Saccharin, Acesulfame potassium และ Sucralose ซึ่งแต่ละชนิด |
แต่ละชนิด จะมีคุณสมบัติ และวิธีการเลือกซื้อ ยกตัวอย่างคร่าว ๆ ดังนี้
- Stevia หรือ หญ้าหวาน
มีรสชาติหวานปนขม หวานกว่าน้ำตาลทั่วไปประมาณ 350 เท่า ซึ่งให้พลังงานเป็น 0 แคลอรี่ นิยมในการประกอบอาหาร
- Erythritol
ความหวานคล้ายน้ำตาลทรายขาว ให้พลังงานประมาณ 0.24 แคลอรี่ต่อกรัม ซึ่งสารจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดโดยตรง ไม่ถูกดูดซึมในกระเพาะอาหาร และไม่กระตุ้นการหลั่งสารอินซูริน ผู้ที่ทานคีโต และเป็นโรคเบาหวาน สามารถทานได้ มักใช้ในการประกอบอาหาร และเบเกอรี่
มีรสชาติ หอม หวาน อร่อย เหมาะกับการรับประทานคู่กับเครื่องดื่ม และอาหารว่าง เป็นสารที่ให้พลังงานมีแคลรอรีค่อนข้างสูง
มีรสหวาน และยังทำให้ชุ่มคอ และช่วยรักษาอาการอักเสบได้ หวานกว่าน้ำตาลทั่วไปประมาณ 100-250 เท่า เป็นสารให้ความหวาน ที่ไม่กระตุ้นการหลั่งสารอินซูลิน อีกทั้งยังไม่มีแคลอรี
- Aspatam
มีความหวานกว่าน้ำตาลประมาณ 200เท่า หากใช้ในปริมาณมาก จะมีรสชาติขม ซึ่งเป็นสารที่ให้พลังงานเท่ากัน แต่จะใช้ในปริมาณที่น้อยกว่า จึงทำให้ได้รับพลังงานที่น้อยกว่า ข้อเสียของสาร Aspatam คือ เมื่อโดนความร้อน โครงสร้างของสารจะเปลี่ยน จึงไม่ควรใช้ในการปรุงอาหาร และเก็บไว้นาน ๆ
- Saccharin
มีความหวานว่าน้ำตาลประมาณ 200-700 เท่า นิยมใช้ในเครื่องดื่มชูกำลัง และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
- Sucralose
ให้ความหวานใกล้เคียงกับน้ำตาล มีความหวานกว่าน้ำตาลประมาณ 600 เท่า นิยมใช้ในการทำเบเกอรี่ และเป็นสารให้ความหวานที่ไม่ให้พลังงาน
▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾ ▾
การใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลมีผลต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง ?
การบริโภคสารให้ความหวานแทนน้ำตาลนั้น มีทั้งข้อดี ลดความเสี่ยงในการเกิดฟันผุ และข้อเสีย น้ำหนักขึ้น, น้ำตาลในเลือดสูง, รบกวนการทำงานของลำไส้ ซึ่งผลเสียต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้น ปัจจุบันยังไม่ทราบกลไกลที่ชัดเจนของมัน แต่คาดกันว่าเกิดจากปัญหาแบคทีเรียในลำไส้เปลี่ยนชนิดไป (dysbiosis), เกิดจากความอยากหวาน หรืออาการติดหวาน และเกิดจากมีการรบกวนสัญญาณสื่อประสาทระหว่างลำไส้ และสมอง
-
ไม่ทำให้ฟันผุ การใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลในน้ำอัดลม, หมากฝรั่ง, ลูกอม, ยาอม สามารถลดความเสี่ยงของฟันผุได้ โดยเฉพาะ sugar alcohols เช่น erythritol และ xylitol จะไปรบกวนการเติบโตของแบคทีเรีย แต่ในทางตรงข้ามในกลุ่ม polyols รวมไปถึงน้ำอัดลมนั้น มีความเป็น กรด ดังนั้น อาจจะทำให้ฟันสึกกร่อนได้
- เรื่องน้ำหนัก สารให้ความหวานแทนน้ำตาลเหล่านี้ มีพลังงานน้อยมาก หรือไม่มีพลังงานเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น จึงน่าจะสามารถนำมาลดน้ำหนักได้ โดยการบริโภคแทนน้ำตาลไม่ใช่หรือ แต่ในความเป็นจริงแล้วจากงานวิจัยหลากหลายงาน ผลออกมาเป็นรูปแบบผสม บางงานวิจัยพบว่า ผู้บริโภคน้ำหนักขึ้น บางงานก็ออกมาเป็นน้ำหนักเท่า ๆ เดิม บางงานวิจัยก็บอกว่าสามารถลดน้ำหนักได้ ซึ่งยังเป็นข้อโต้เถียงกันอยู่จนปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตาม ทาง American Academy of Pediatrics ไม่แนะนำให้ใช้สารเหล่านี้กับเด็ก
-
Glycemic effects ปัจจุบันนั้น ยังมองว่างานวิจัยยังขาดข้อมูลที่มีคุณภาพอยู่ มีหลายงานวิจัยได้ผลออกมาเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้ดื้ออินซูลิน ทำให้มีการหลั่ง glucagon-like peptide 1 (GLP-1) และทำให้เกิดเบาหวานชนิดที่ 2 อีกด้วย และก็มีอีกหลายงานวิจัยที่บอกว่าสารเหล่านี้ไม่ก่อให้เกิดโทษตามที่กล่าวมาแต่อย่างใด
-
โรคระบบหลอดเลือดและหัวใจ ผลลัพธ์ของการบริโภคสารให้ความหวานแทนน้ำตาลนั้น มีทั้งก่อให้เกิดโทษ ทำให้เกิดโรค stroke มากถึง 2.5 เท่าและโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน 1.3 เท่าของคนปกติ และบางงานวิจัยก็ได้ผลเป็นไม่ก่อให้เกิดโทษดังกล่าวแต่อย่างใด สรุปแล้วในเรื่องนี้เรายังคงสรุปอะไรไม่ได้แน่ชัด
-
ไขมันพอกตับ(Non-alcoholic fatty liver disease) มีทั้งงานวิจัยที่ได้ผลว่าสารให้ความหวานแทนน้ำตาล สามารถลดภาวะไขมันพอกตับได้ บางงานวิจัยก็บอกว่าช่วยลดภาวะไขมันพอกตับได้เฉพาะในคนที่เป็นโรคอ้วนอยู่เดิมเท่านั้น
-
ระบบประสาท การรับประทาน aspartame อาจจะกระตุ้นให้เกิดปวดหัวไมเกรนในคนบางคน ซึ่งปัจจุบันยังไม่ทราบกลไกลในการเกิดที่ชัดเจน
-
อาการแพ้ (Allergenicity) มีรายงานว่าเกิดอาการแพ้ได้บ้าง แต่โอกาสนั้นน้อยมาก ๆ ได้แก่ thaumatin stevia และ erythritol
อย่างไรก็ตาม สารให้ความหวานแทนน้ำตาลจะมีประโยชน์ เพื่อลดพลังงาน และผู้ป่วยที่ต้องจำกัดการบริโภคน้ำตาล แต่การบริโภคในปริมาณที่มากเกิน ก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพเช่นกัน เพราะสารให้ความหวานแทนน้ำตาลบางชนิด ไม่มีคุณค่าทางด้านโภชนาการ อาจเกิดสารเคมีจนตกค้างในร่างกายได้ และทำให้ร่างกายไม่ได้รับพลังงาน ซึ่งอาจะทำให้หวนกลับมากินอาหารชนิดอื่นที่ให้พลังงานมากกว่าเดิมได้ และควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี
Leave A Comment