หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า แอสตาแซนทิน (Astaxanthin) ขึ้นชื่อว่าเป็นราชินีแห่งสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยดูแลสุขภาพผิวพรรณ เป็นหนึ่งในสารประเภทแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ในธรรมชาติ ที่ทำให้เกิดสีแดงหรือสีชมพูในพืชหรือสัตว์ ซึ่งมีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ช่วยป้องกันการทำลายเซลล์และกระบวนการออกซิเดชั่นที่มีผลทำให้เกิดริ้วรอยและการเสื่อมของเซลล์ก่อนวัยอันควร จึงเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายที่นำมาใช้เป็นอาหารเสริมในการดูแลสุขภาพของดวงตาและหัวใจ ลดการอักเสบทั่วร่างกาย และช่วยในเรื่องของผิวพรรณในปัจจุบันนั่นเอง SGE CHEM ขอพาทุกคนไปรู้จักกับแอสตาแซนทินกันให้มากขึ้น ตามไปดูเลย . . .

210215-Content-ทำความรู้จัก-แอสตาแซนทิน-ศาสตร์แห่งการชะลอวัย--edit02


แอสตาแซนทินคืออะไร?

จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ได้จากแหล่งอาหารที่มีสีแดง เช่น เนื้อปลาแซลมอน, กุ้ง, เปลือกปู, เปลือกกุ้งมังกร พบมากสุด ในสาหร่ายสีแดง สายพันธุ์ ฮีมาโตคอคคัส พลูวิเอลิส (Heamatococcus  Pluvialis) แอสตาแซนทินมีลักษณะเป็นสารสีแดงที่ละลายได้ดีในไขมัน และด้วยสูตรโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษ จึงมีความสามารถในการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ทั้งภายในและภายนอกได้ทุกส่วนทั่วร่างกาย จึงมีคุณลักษณะที่เหนือกว่าสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่น ๆ

210215-Content-ทำความรู้จัก-แอสตาแซนทิน-ศาสตร์แห่งการชะลอวัย--edit03


ตัวอย่างปริมาณแอสตาแซนทินในอาหารบางชนิด

ประเภท ปริมาณ (part per million)
เคย 20 PPM 
กุ้ง 1,200 PPM
ยีสต์ (Phaffia Yeast) 10,000 PPM
สาหร่าย ฮีมาโตคอกคัส พลูวิเอลิส 40,000 PPM

รู้ไหม? หลายคนเรียก แอสตาแซนทินเป็น “Nature’s Most Powerful Antioxidant” ที่สุดของสารต้านอนุมูลอิสระนั่นเอง


สารอนุมูลอิสระ คืออะไร? เกิดขึ้นได้อย่างไร?

อนุมูลอิสระ จะถูกสร้างขึ้นโดยร่างกายของเรา ซึ่งเกิดจากกระบวนการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานให้กับร่างกายของเรา การหายใจเข้าในร่างกาย ออกซิเจนก็จะถูกเปลี่ยนเป็นอนุมูลอิสระเช่นกัน แต่ถ้าหากร่างกายมีการสร้างสารอนุมูลอิสระที่มากเกินไป จนขาดความสมดุล อนุมูลอิสระเหล่านั้นจะกลับมาทำร้ายเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายเราได้ จนนำไปสู่โรคต่าง ๆ ยิ่งไปกว่านั้นจากสภาพแวดล้อมที่พบเจอ เช่น มลพิษในอากาศ, ฝุ่นละออง, ควันบุหรี่, ไอเสียรถยนต์, โรงงานอุตสาหกรรม, รังสียูวีในแสงแดด ตลอดจนอาหารปิ้งย่างรวมถึงความเครียดจากการทำงาน สิ่งเหล่านี้ล้วนกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระมากขึ้น และส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพได้

210215-Content-ทำความรู้จัก-แอสตาแซนทิน-ศาสตร์แห่งการชะลอวัย--edit04


ดังนั้น สาเหตุของริ้วรอยก่อนวัย จึงหนีไม่พ้นจากผลของอนุมูลอิสระที่มีมากเกินไป ปัจจุบันศาตร์ ทางการแพทย์ จึงให้ความสำคัญกับการชะลอวัย (Anti-Aging ) ด้วยสารต้านอนุมุลอิสระ (Anti-oxidant) ที่มีคุณสมบัติคือจับอนุมูลอิสระทำให้อนุมูลอิสระคงตัว ไม่ไปทำลายเซลล์ในร่างกาย ระดับการถูกทำลายจะช้าลง ซึ่งก็เป็นการชะลอความชราอีกวิธีหนึ่ง โดยร่างกายสามารถผลิตสารต้านอนุมูลอิสระได้หลายชนิด แต่เพราะความเสื่อมซึ่งเกิดขึ้นตามวัย การผลิตสารต้านอนุมูลอิสระดังกล่าวจะลดน้อยลง ประกอบกับเผชิญอนุมูลอิสระจากภายนอกอีกหลายทิศทางนั้น เราจึงควรทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อปกป้องความเสื่อมต่าง ๆ ของร่างกายนั่นเอง

การทำงานของแอสตาแซนทิน

  • ต่อต้านริ้วรอยที่จะสร้างคอลลาเจนและอีลาสติ เพื่อต่อต้านริ้วรอยและความขรุขระ
  • โรคมะเร็ง สารต้านอนุมูลอิสระซึ่งคุณสมบัติในการป้องกันการเสื่อม โรคเบาหวานโรคหัวใจและหลอดเลือด

ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้แอสตาแซนทิน

  • สำหรับผิว : ลดเลือนริ้วรอย สร้างความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยให้สุขภาพผิวที่ดีขึ้น
  • สำหรับสุขภาพ : มีต่อสุขภาพที่ดี

ใครที่เหมาะสมกับการใช้แอสตาแซนทิน

  • คนที่ริ้วรอยความกังวลหรือความงามของผิว
  • บุคคลที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพดี


แอสตาแซนทินและประโยชน์ในด้านอื่น ๆ

1. ด้านสายตา
มีการศึกษาอย่างมากมายพบว่า การรับประทานแอสตาแซนทินเป็นระยะเวลานาน 4 สัปดาห์ ช่วยป้องกันตาแห้ง ตาอ่อนล้า ลดอาการเจ็บตา ช่วยปัญหาด้านการมองเห็น เช่น อาการมองไม่ชัด นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังดวงตาอีกด้วย ทำให้ดวงตามีสุขภาพที่ดี

2. ด้านความจำ
ด้วยอายุที่เพิ่มมากขึ้นมักมาคู่กับการเกิดปัญหาด้านความจำ เกิดอาการหลงลืมได้ ดังนั้นในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุเป็นจำนวนมาก ได้มีการศึกษาประโยชน์ในด้านความจำ หลังจากการรับประทานแอสตาแซนทินโดยผลการศึกษาพบว่า การรับประทานแอสตาแซนทินขนาด 6-12 มิลลิกรัม เป็นระยะเวลานาน 3 เดือน ช่วยเพิ่มการจดจำ และอาการหลงลืมของผู้ป่วยได้

210215-Content-ทำความรู้จัก-แอสตาแซนทิน-ศาสตร์แห่งการชะลอวัย--edit05


3. ด้านความเจ็บปวด บริเวณข้อและกล้ามเนื้อ

การประทานแอสตาแซนทินขนาด 4-12 มิลลิกรัม เป็นระยะเวลานาน 2-3 สัปดาห์ สามารถลดความเจ็บปวดบริเวณข้อเข่าและกล้ามเนื้อได้ นอกจากนี้มีการใช้แอสตาแซนทินขนาด 12 มิลลิกรัม เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าสามารถช่วยให้ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์มีอาการที่ดีขึ้น ลดอาการปวดต่าง ๆ ได้ รวมทั้งไม่เกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ เมื่อต้องรับประทานร่วมกับยาแก้ปวดที่ผู้ป่วยรับประทานเป็นประจำ

4. ด้านหัวใจ
แอสตาแซนทินช่วยลดระดับไขมันเลว (LDL) ไตรกลีเซอไรด์และคลอเรสเตอรอล ซึ่งเป็นไขมันที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจตามมาในกรณีที่มีปริมาณสูง และนอกจากนี้ยังพบว่าการรับประทานแอสตาแซนทินขนาด 6-18 มิลลิกรัม เป็นระยะเวลานาน 12 สัปดาห์ ยังสามารถช่วยเพิ่มไขมันดี (HDL) ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไขมันได้อีกด้วย


วิธีการใช้แอสตาแซนทิน

ไม่มีคำแนะนำสำหรับปริมาณของแอสตาแซนธินที่ควรได้รับในแต่ละวัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามค่าเฉลี่ยที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้แอสตาแซนทินคือ 2 ถึง 4 มิลลิกรัมต่อวันเพื่อที่จะได้ประโยชน์สูงสุด อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล อาจเกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป ควรพิจารณาก่อนรับประทาน

แอสตาแซนธินสามารถละลายได้ในไขมัน เพื่อเพิ่มการดูดซึมที่ดีที่สุด คือการรับประทานอาหารที่มีไขมันดีต่อสุขภาพ เช่น อาโวคาโด  ปลาที่มีกรดไขมันจำเป็นสูง และมะพร้าว

ความปลอดภัย ไม่มีรายงานผลข้างเคียงที่สำคัญของแอสตาแซนทินในการศึกษาทางการแพทย์ของมนุษย์จนถึงปัจจุบันนี้ แต่อย่างไรก็ตาม การใช้แอสตาแซนทินในปริมาณที่สูงถึง 50 มิลลิกรัมหรือมากกว่านี้ อาจเป็นสาเหตุของการทำให้สีผิวของเราออกสีส้มได้


แอสตาแซนทินไม่ได้มีประโยชน์แค่เรื่องผิวพรรณเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์กับร่างกายเราทั้งภายนอกและภายในแทบจะทุกส่วนเลยทีเดียว ภายได้ชื่อราชินีแห่งสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีประโยชน์มากมายมหาศาล เมื่อรู้ถึงคุณประโยชน์แล้ว อย่าลืมเลือกซื้อมารับประทานเพื่อสร้างเสริมสุขภาพที่ดีให้กับตัวเองและคนรอบข้างที่เรารักกันด้วยนะจ๊ะ

>>สามารถอ่านบทความต่าง ๆ จาก SGE CHEM ได้ตามนี้เลย<<