ระบบภูมิคุ้มกัน ในร่างกายของเรา อาจลดลงได้จากการรับประทานอาหารหรือพฤติกรรมการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ซึ่งอาจส่งผลให้เม็ดเลือดขาวที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดและตามอวัยวะต่างๆ ที่มีหน้าที่คอยช่วย ป้องกันเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆ อาทิ ไวรัส แบคทีเรีย เข้าสู่ร่างกาย บกพร่องหรือสดลง ทำให้ตัวเราเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และเจ็บป่วยขึ้นได้

การทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายแข็งแรง จึงต้องการสารอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ตลอดจนอวัยวะอื่น ๆ ให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนปกป้องเราได้จากโรคภัย เชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ SGECHEM จึงจะพาคุณไปรู้จักกับสารอาหารที่ช่วยเสริม ระบบภูมิคุ้มกันว่า มีอะไรบ้าง และเราจะได้รับจากการรับประทานอาหารชนิดใด

พฤติกรรมใดที่ส่งผลให้ ระบบภูมิคุ้มกัน ต่ำ

ระบบภูมิคุ้มกัน

1. รับประทานของหวานบ่อย ๆ

เพราะของหวาน ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลม ชานมไข่มุก เค้ก คุ้กกี้ ฯลฯ มีน้ำตาลเป็นส่วนผสมจำนวนมาก ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เสี่ยงเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน หากรับประทานบ่อย ๆ แต่ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงอีกด้วย โดยผลการศึกษาซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrition พบว่า การรับประทานน้ำตาล 100 กรัม จะทำให้ความสามารถในการทำลายเชื้อแบคทีเรียในของเม็ดเลือดขาว หยุดชะงักไปถึง 5 ชั่วโมงหลังจากการรับประทานน้ำตาล

2. ดื่มน้ำไม่เพียงพอ

การดื่มน้ำไม่เพียงพอ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันต่ำ เพราะว่าน้ำจะช่วยชำระล้างสารพิษต่าง ๆ ในร่างกายที่เป็นสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บ ให้ขับถ่ายออกจากร่างกาย ดังนั้น หากดื่มน้ำไม่เพียงพอในแต่ละวัน จะทำให้สารพิษที่อยู่ในร่างกายตกค้าง สะสมอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ ดังนั้น จึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยการดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6 – 8 แก้ว เป็นประจำ

3. น้ำหนักเกินมาตรฐาน

ปกติแล้ว คนเราควรมีน้ำหนักให้สมดุลกับส่วนสูง ตามค่าดัชนีมวลกาย หรือ BMI กำหนด ซึ่งหากเกินมาตรฐาน นอกจากจะส่งผลเสียต่ออวัยวะและระบบการทำงานในร่างกาย ยังทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง โดยเฉพาะคนที่มีดัชนีมวลกายมากกว่า 40 เพราะน้ำหนักส่วนเกินจะไปทำให้ฮอร์โมนในร่างกายเกิดความไม่สมดุล และส่งผลให้เกิดการอักเสบและความบกพร่องของภูมิคุ้มกัน ที่ช่วยในการต่อสู้กับการติดเชื้อต่าง ๆ จึงไม่ควรกินอาหารที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นโดยเร็ว เช่น อาหารจำพวก มัน ทอด ปิ้ง ย่าง หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ เป็นต้น

4. จมูกแห้งเกินไป
หากคัดจมูกหรือน้ำมูกไหล ส่วนใหญ่แล้วทุกคนจะใช้ทิชชู่ แล้วสั่งน้ำมูกออกมาจนจมูกแห้งใช่มั้ยล่ะ แต่พฤติกรรมแบบนี้ใช่ว่าจะส่งผลดีต่อร่างกาย เพราะน้ำมูกที่อยู่ในจมูก จะเป็นตัวที่คอยดักจับเชื้อโรคและขจัดเชื้อโรคออกจากร่างกาย การที่จมูกของคุณแห้งเกินไป อาจทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ถ้าหากมีอาการจมูกแห้ง ควรจะหาน้ำเกลือมาล้างจมูก เพื่อให้จมูกชุ่มชื้นอยู่เสมอ และไม่ควรสั่งน้ำมูกบ่อยจนเกินไป

5. ความเครียด

ความเครียด สามารถส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย เพราะจะพลอยทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ ทำให้ไม่ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกาย จนร่างกายไม่แข็งแรง ส่งผลให้เชื้อโรคและแบคทีเรีย เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายนั่นเอง

ตรวจวัด ระบบภูมิคุ้มกัน อย่างไร

ภูมิคุ้มกัน

เพราะบางคนอาจไม่รู้ว่า พฤติกรรมการใช้ชีวิตในแต่ละวัน รวมถึงการรับประทานของตนเองนั้น สามารถส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันลดลงได้ ดังนั้น หากไม่ทันได้สังเกต รวมถึงอยากรู้ว่า ตนเองขาดอะไร เพื่อจะเสริมได้ถูก จึงควรไปตรวจวัดระบบภูมิคุ้มกันอย่างเป็นระบบ โดยมี 3 วิธีด้วยกันคือ

1. การตรวจการทำงานของเม็ดเลือดขาวแบบละเอียด (CD Profile)

เป็นการวิเคราะห์การทำงานของเม็ดเลือดขาว ซึ่งก็คือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแบบละเอียด เพื่อนำมาใช้วางแผนในการเสริมภูมิต้านทานเพื่อป้องกันโรค

2. การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC)

เพื่อหาความผิดปกติของส่วนประกอบของเลือด ได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด และประเมินความเข้มข้นของเลือด ซึ่งอาจบอกถึงภาวะที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันของร่างกาย

3.การตรวจวัดระดับวิตามินดี

เพราะวิตามินดีช่วยในการเสริมสร้างการพัฒนาเซลล์ ความแข็งแกร่ง และการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ ยังช่วยต่อสู้กับการติดเชื้อทุกชนิดรวมถึงโรคหวัดและไข้หวัดใหญ่

สารอาหารที่ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน

ระบบภูมิคุ้มกัน

1. โปรตีน (Protein)

โปรตีน เป็นสารอาหารที่ช่วยให้ร่างกาย สามารถสร้างแอนติบอดี้ที่จำเป็น ต่อการป้องกันไวรัสและแบคทีเรียที่รุกล้ำเข้ามาในร่างกาย  จึงควรบริโภคอาหารที่ให้โปรตีนเป็นประจำ อย่างไรก็ตาม ควรเลือกทานอาหารที่ให้โปรตีนชั้นดีมากกว่า เพราะมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าโปรตีนปกติ

2. วิตามินและสารพฤกษเคมี(Vitamins and phytonutrients)

วิตามิน มีส่วนอย่างมากต่อการสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และเนื่องจากเป็นสารอาหารที่ร่างกายของมนุษย์ไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้รับมาอย่างเดียว จึงต้องรับประทานอาหารที่มีวิตามินเข้ามาในร่างกาย โดยวิตามินที่มีบทบาทสำคัญต่อการเสริมระบบภูมิคุ้มกันเช่น วิตามินซี ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตแอนติบอดี้ที่ต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ วิตามินเอ ช่วยบำรุงสุขภาพผิว เนื้อเยื่อของระบบย่อยอาหาร และระบบทางเดินหายใจ

สำหรับสารพฤกษเคมี หรือ ไฟโตนิวเทรียนท์ ที่พบในผักและผลไม้ ก็มีส่วนช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน เนื่องจากช่วยลดความเข้มข้นของสารอนุมูลอิสระที่เป็นตัวการทำให้ร่างกายอ่อนแอไม่สามารถต่อสู้กับความเจ็บป่วยได้ ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งและโรคหลอดเลือดและหัวใจ บรรเทาการอักเสบ ลดความดันเลือด หากต้องการให้ร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง จึงควรบริโภคผักและผลไม้บ่อย ๆ ในปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละวัน ก็จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยรวมได้เป็นอย่างดี

3. โพรไบโอติกส์และพรีไบโอติกส์(Probiotics and prebiotics)

ระบบย่อยอาหารทำหน้าที่หลักในการส่งเสริมการทำงานของภูมิคุ้มกัน ซึ่งระบบลำไส้เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด เนื่องจากมี โพรไบโอติกส์ ซึ่งเป็น “แบคทีเรียชนิดดี” ช่วยให้ภูมิคุ้มกันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และยังทำให้น้ำหนักลดลง ย่อยอาหารได้ดีขึ้น มีผิวพรรณสดใส  การทานอาหารจึงควรเน้นสารอาหารที่มีพรีไบโอติกส์ เพื่อเป็นอาหารให้กับแบคทีเรียในลำไส้ สามารถทำงานได้ตามปกติ อันจะช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง

4. กรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3 fatty acids)

กรดไขมันโอเมก้า 3 ได้แก่ DHA และ EPA มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เนื่องจากช่วยการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อภูมิคุ้มกันโดยกำเนิดและภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะที่ต่อสู้กับการติดเชื้อ รวมถึงยังช่วยลดการอักเสบของร่างกาย ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้ติดเชื้อหรือเป็นโรคต่าง ๆ ได้ง่าย

5. สังกะสี

มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน รวมทั้งควบคุมการทำงานของเอนไซม์ ที่เป็นกลไกหลักในการทำงาน ของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

รับประทานอาหารอย่างไรให้ระบบภูมิคุ้มกันดี

ระบบภูมิคุ้มกัน

1. เลือกทานอาหารที่มีโปรตีนชั้นดี

โปรตีนที่มีคุณภาพดี จะมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ครบถ้วน โดยสามารถได้รับจากเนื้อปลา เนื้ออกไก่ ไข่ นม (พร่องหรือขาดมันเนย) ชีส (เลือกชนิดที่ไขมันต่ำ) เต้าหู้ ถั่วเหลือง และโปรตีนจากพืช เช่น ถั่วต่าง ๆ เมล็ดพืชต่าง ๆ ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ เป็นต้น

2. รับประทานผักและผลไม้อย่างน้อย 5 ส่วนต่อวัน

โดยจะเป็น ผัก 3 ผลไม้ 2 ส่วนก็ได้ต่อวัน ทั้งนี้ ควรเลือกทานให้มีความหลากหลาย ผสมกันไป ซึ่งผักและผลไม้ที่ให้วิตามินซี ได้แก่ คะน้า บร็อกโคลี ผักโขม มะเขือเทศ ฝรั่ง สตรอเบอร์รี่

ส่วนวิตามินเอ เช่น ผักใบเขียวเข้ม ผักและผลไม้สีเหลืองและส้ม เช่น ตำลึง ผักบุ้ง แครอท ฟักทอง มันเทศสีเหลือง มะละกอสุก

สำหรับไฟโตนิวเทรียนท์นั้น พบได้ในผักโขม แครอท ทับทิม แอปเปิ้ล องุ่นเขียว แดงม่วง ฯลฯ

3. ทานอาหารที่ช่วยเสริมโพรไบโอติกส์

อาหารอย่าง โยเกิร์ตและนมเปรี้ยว มักจะมีการเติมโพรไบโอติกส์ ที่ดีต่อการทำงานของลำไส้ แต่ควรเลือกทานเฉพาะแบบที่มีน้ำตาลต่ำ นอกจากนี้ ผักและผลไม้อื่น ๆ ก็มีใยอาหารหรือพรีไปโอติกส์สูง เช่น ธัญพืช ข้าวโอ๊ต ถั่วเมล็ดแห้ง กล้วย หัวหอมใหญ่ กระเทียม หน่อไม้ฝรั่ง สามารถทานเพื่อเสริมโพรไปโอติกส์ได้

4. ทานอาหารที่ให้โอเมก้า 3 สูง

อาหารที่ให้โอเมก้า 3 สูง ได้แก่ เนื้อปลา ไม่ว่าจะเป็น แซลมอน แมคเคอเรล ทูน่า และซาร์ดีน ถั่วและเมล็ดพืช เช่น เมล็ดเจีย เมล็ดแฟลกซ์ วอลนัท เมล็ดฟักทอง หรือน้ำมันพืชอย่าง น้ำมันถั่วเหลือง หรือน้ำมันคาโนล่า ถ้าใช้ปรุงอาหาร ก็จะให้โอเมก้า 3 เข้าสู่ร่างกายเช่นกัน

5. บริโภคอาหารที่มี Zinc

โดยอาหารที่มี Zinc หรือ สังกะสี เช่น เนื้อสัตว์และเครื่องใน หอยนางรม สัตว์ปีกและปลา รองลงมา คือ ไข่ และนม

การดูแลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำงานได้ดี มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ จะช่วยป้องกันไม่ให้เราป่วยเป็นโรคต่าง ๆ ได้ง่าย ทั้งยังช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สุขภาพดีทั้งภายนอกและภายใน จึงควรรับประทานอาหารที่มีสารอาหารช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงอยู่เสมอ ซึ่งหากใครไม่ชอบทานผักและผลไม้ ที่มีสารอาหารที่จำเป็น ก็สามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ให้สารอาหารเหล่านี้แทนได้ 

สำหรับใครที่สนใจอยากมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นของตัวเอง เพื่อสร้างจุดขายในการสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ตลอดจนบำรุงร่างกายในส่วนอื่น ๆ สามารถติดต่อเข้ามาได้ที่ SGECHEM เพราะเราเป็นโรงงาน OEM ที่ผลิตอาหารเสริมครบวงจร ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต ไปจนถึงการออกแบบ สร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ และมีบริการจดทะเบียน อย. ให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของคุณถูกต้องตามกฏหมาย สามารถวางขายแข่งขันทางการตลาดได้อย่างสบายหายห่วง หากสนใจสามารถคลิกลิ้งก์เว็บไชต์ที่ https://sgechem.com/ หรือติดต่อทางโทรศัพท์ หรือ Line ของเราได้เลย