ครีมกันแดด มี SPF และ PA+++ หมายถึงอะไร? ทำไมต้องแยกเป็นแบบทาหน้าและทาตัว แยกกัน เอามาใช้ร่วมกันได้มั้ย แล้วถ้าผิวมัน ผิวบาง แพ้ง่าย จะใช้แบบไหนดี ปัญหาพวกนี้หลายคนคงจะสงสัยกันไม่น้อย เมื่อต้องเลือกใช้ครีมกันแดด

เพราะในปัจจุบัน ครีมกันแดดมีมากมายให้เลือกเหลือเกิน บางคนอาจจะเลือกซื้อหากันไม่ถูก การรู้จักคุณสมบัติของครีมกันแดดที่ดี พร้อมกับการเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานและสภาพผิวของตัวเรา จึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งถ้าเกิดใครยังไม่รู้ว่าจะเลือกยังไงแล้วละก็ SGECHEM ขอพาทุกคนมารู้จัก ครีมกันแดด ว่ามีคุณสมบัติอะไรบ้าง และควรเลือกใช้งานแบบไหน ให้เหมาะสมกับตัวเรา หากพร้อมแล้ว ก็ตามมาดูกันเลย  

ทำไมต้องใช้ครีมกันแดด

ครีมกันแดด

หลายคนอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจ ว่าทำไมต้องใช้ครีมกันแดด โดยเฉพาะหนุ่ม ๆ ที่ไม่ได้ซีเรียสเรื่องต้องผิวดำคล้ำจากแสงแดด เหมือนกับผู้หญิงทั่วไป แต่รู้หรือไม่ว่า แสงแดดนั้น สามารถส่งผลร้ายต่อเซลล์ผิวได้ร้ายแรงกว่าการทำให้ผิวดำ นั่นเพราะหากได้รับแสงแดดเป็นเวลานาน รังสีอัลตร้าไวโอเลต A (UVA), รังสีอัลตร้าไวโอเลต B (UVB) และรังสีที่ตามองเห็น (Visible Light) จะทำให้ผิวหนังของเรา เกิดรอยเหี่ยวย่น เกิดตีนกา ผิวหน้าหมองคล้ำ และหยาบกร้าน เกิดกระ เกิดฝ้า จนผิวหน้าแลดูแก่กว่าวัยอันควร นอกจากนี้ หากได้รับมาก ๆ ยังทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนัง ทั้งมะเร็งผิวหนังชนิด nonmelanoma และmelanoma

ดังนั้น ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง จึงควรดูแลผิวของตนให้มีสภาพดี ปกป้องตนเองจากแสงแดด ด้วยการหลีกเลี่ยงสัมผัสกับแสงแดดเป็นระยะเวลานาน สวมเสื้อผ้าให้มิดชิด ใช้ร่มหรือที่บังแดด เมื่อออกข้างนอก และสุดท้ายก็คือ การทาครีมกันแดด ซึ่งด้วยประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ในปัจจุบัน นอกจากช่วยป้องกันผิวแล้ว ยังช่วยบำรุงผิวได้ดีอีกด้วย

คุณสมบัติที่ ครีมกันแดด ที่ดีควรมี

ครีมกันแดดUV

เราคงจะได้เห็นผ่านตากันมาบ้าง กับโฆษณาที่มักบอกว่า ครีมกันแดด ของเจ้านั้นเจ้านี้ มีคุณสมบัติป้องกันรังสี UVA UVB หรือ มีค่า SPF 50+ ต่าง ๆ ซึ่งด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ครีมกันแดดปัจจุบัน มีสรรพคุณป้องกันแดดได้ล้ำลึกยิ่งกว่าเดิม จนหลายคนชักงงและสับสน ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว ควรพิจารณาเลือกซื้อครีมกันแดดจากอะไรเป็นหลัก ฉะนั้น หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่มีปัญหานี้แล้วละก็ เรามีคุณสมบัติง่าย ๆ ของครีมกันแดดที่ควรพิจารณามาให้ดู ว่าควรมีอะไรบ้าง ๆ โดยมี หลักคือ

1. ปกป้องผิวได้ทั้งรังสี UVA-I, UVA-II และ UVB

แสงยูวีที่จะก่ออันตรายต่อผิวหนัง จะประกอบด้วยรังสี UVA I และ UVA II มีอำนาจทะลุทะลวงสูงเข้าสู่ชั้นหนังแท้ ทำให้เกิดการทำลายคอลลาเจน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของรอยย่น ความหย่อนคล้อย กระ และมะเร็งผิวหนัง โดยที่รังสี UVA I หรือ Long UVA มีอำนาจทะลุทะลวงสูงที่สุด  ส่วนรังสี UVB มีอำนาจทะลุทะลวงผิวหนังน้อยกว่า จึงเข้าสู่ชั้นหนังกำพร้าทำให้เกิดฝ้า ผิวคล้ำ ผิวไหม้จากแดด (sunburn )

การเลือกครีมกันแดด จึงควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่สามารถปกป้องผิวได้ทั้งจากรังสี UVA-I ,UVA-II และ UVB ซึ่งสามารถพิจารณาได้จากสารกันแดดที่เป็นส่วนประกอบ ได้แก่ Titanium Dioxide, Zinc Oxide, Butyl Methoxydibenzoylmethane (Avobenzone), Bis-Ethylhexyloxyphenol Methoxyphenyl Triazine (Tinosorb® S), Drometrizole TriSiloxane (Mexoryl® XL), Terephthalylidene Dicamphor Sulfonic Acid (Mexoryl® SX), Methylene Bis-Benzotriazolyl Tetramethylbutylphenol (Tinosorb® M)

2. มี SPF 30 – 50+

เคยสงสัยมั้ยว่า ค่า SPF คืออะไร ซึ่งมันย่อมาจาก Sun Protection Factor เป็นสัญลักษณ์แสดงค่าป้องกันรังสี UVB นั่นเอง ดังนั้น หากใครไม่อยากนั่งพิจารณาว่า ผลิตภัณฑ์นั้นป้องกันรังสี UVB ได้หรือไม่ ด้วยการนั่งดูสารที่เป็นส่วนประกอบ ก็สามารถดูสัญลักษณ์ SPF แทนได้ โดยยังแสดงถึงประสิทธิภาพในการทำให้ผิวทนต่อแสงแดดด้วย ว่าอยู่ในอัตราเท่าไหร่ โดยปกติคนเราตากแดด 15 นาที ผิวถึงจะเริ่มไหม้แสบแดง การทา Sunscreen ที่มี SPF 30 ก็จะอยู่กลางแดดได้นานขึ้นอีก 30 เท่า นั่นก็คือ 15 x 30 = 450 นาที หรือ ประมาณ 7 ชั่วโมง

โดยปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดในท้องตลาด มักมีค่า SPF ตั้งแต่ 30 – 50+ ขึ้นไป โดย SPF 30 สามารถป้องกันรังสี UVB ได้ 97% ในขณะที่ SPF50+ ป้องกันได้ 98% ซึ่งแตกต่างกันเพียง 1% เท่านั้น จึงอาจไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเลือกใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูง ๆ แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ด้วยแดดที่ร้อนระอุของเมืองไทย และ UV Index แรงขนาดนี้ แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่มี SPF มากกว่า 30 ขึ้นไป จะช่วยปกป้องผิวของคุณได้ดีที่สุด

3. ค่า PA(+) ยิ่งเยอะเท่าไหร่ยิ่งดี

เช่นเดียวกับ SPF ที่บ่งบอกถึงค่าป้องกันรังสี UVB สัญลักษณ์ PA(+) คือ ค่าป้องกันรังสี UVA ที่กำหนดโดยสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องสำอางประเทศญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 2006 (หากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในยุโรปหรือผลิตเพื่อจำหน่ายในยุโรป จะใช้สัญลักษณ์ PPD) ดังนั้น หากพบว่าผลิตภัณฑ์ใดมีเครื่องหมาย PA(+) แสดงว่า ผลิตภัณฑ์นั้นป้องกันรังสี UVA ได้ ปกติมักจะปรากฏต่อท้ายจากเครื่องหมาย SPF

โดยถ้า PA(+) มีเครื่องหมายบวกต่อท้ายมาก ก็จะยิ่งแสดงว่า มีประสิทธิภาพป้องกันรังสี UVA ได้มาก เนื่องจาก PA(+) แสดงว่ามีประสิทธิภาพในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น ถ้าหากพบ PA++ ก็แปลว่า ปานกลาง PA+++ แปลว่า ประสิทธิภาพสูง และ PA++++ หมายถึง ประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งถ้าเลือกให้เหมาะกับสภาพแดดเมืองไทยแล้วละก็ แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่มี PA+++ หรือ PA++++ เท่านั้น ถึงจะดีกับสุขภาพผิว

เลือกครีมกันแดด ให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไร

ครีมกันแดด

1. เลือกครีมกันแดดทาหน้ากับทาตัวแยกกัน

ครีมกันแดดในปัจจุบัน มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสภาพผิวแต่ละส่วนบนร่างกาย โดยเฉพาะผิวหน้า เนื่องจากเป็นจุดบอบบางและเสี่ยงต่อการถูกแสงแดดทำร้ายมากที่สุด ทำให้มีการผลิตครีมกันแดดทาหน้าและครีมกันแดดทาตัวออกมาแยกกัน ฉะนั้น หากต้องการดูแลผิวหน้าเป็นพิเศษ ไม่ให้หมองคล้ำหรือผิวเสียก่อนวัยอันควร แนะนำให้ซื้อครีมกันแดดทาหน้ามาใช้ต่างหาก ไม่ควรใช้ครีมกันแดดทาตัวไปทาหน้ารวมกัน เพราะครีมกันแดดทาตัวจะมีความเหนียว อาจทำให้รู้สึกเหนอะหนะ กันแดดได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ช่วยบำรุงผิวได้ไม่เต็มที่ ที่สำคัญ อาจส่งผลเสีย เมื่อต้องแต่งหน้าทับลงไปอีกด้วย

2. เลือกครีมกันแดดที่รองรับเมคอัพ

สำหรับสาว ๆ จะออกจากบ้าน โดยไม่แต่งหน้าไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ แต่ถ้าทาครีมกันแดดรองเอาไว้ ถ้าไม่ดีจริงแล้วละก็ อาจทำให้เมคอัพลบเลือน จนเผลอเผยหน้าสดได้ ดังนั้น จึงควรเลือกครีมกันแดด ที่มีเนื้อบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ และต้องทนต่อแรงเสียดสีจากการสัมผัสและเช็ดถู เพื่อไม่ให้เนื้อครีมหรือเมคอัพ ลบเลือนระหว่างวัน โดยสามารถเลือกใช้ได้ทั้งแบบครีมกันแดดแบบเนื้อครีม กันแดดแบบรองพื้น ที่สามารถช่วยลดขั้นตอนการแต่งรองพื้นไปได้ หรือจะเลือกซื้อแบบสเปรย์กันแดด ที่สามารถพ่นเติมได้ตลอด หรือแบบ Stick ที่บางรุ่นบางยี่ห้อ สามารถทาทับเมคอัพได้เลย สะดวกสุด ๆ ชอบแบบไหน อยากทดลองยังไงก็ลองเลือกซื้อมาใช้กันดูนะครับ

3. เลือกให้เหมาะสมกับกิจกรรมระหว่างวัน

เพราะบางวัน คุณอาจจะไปว่ายน้ำในสระ เล่นน้ำทะเล หรือออกไปวิ่ง ปีนเขา ซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวและตากแดดตลอดเวลา อาจทำให้น้ำหรือเหงื่อล้างเอาครีมกันแดดที่ผิวของเราออกไปจนหมด จึงควรเลือกครีมกันแดดที่กันน้ำได้ เกาะติดผิวหนังได้ดี เพื่อให้กันแดดได้ยาวนาน โดยให้เลือกครีมกันแดดที่มีคำว่า Waterproof  Water-Resitance อยู่บนผลิตภัณฑ์ ซึ่งหากใครต้องการพกพาสะดวกยิ่งขึ้นแล้วละก็ แนะนำให้ลองใช้สเปรย์กันแดดหรือครีมกันแดดแบบ Stick หรือแบบแท่ง เพราะด้วยขนาดกะทัดรัด พกพาง่าย จึงทำให้สามารถเติมครีมกันแดดได้ตลอด ใช้ได้ทุกที่ทุกเวลา อย่างไรก็ตาม ไม่ควร“ทาซ้ำ” ติดกันโดยทันที เนื่องจากครีมกันแดดจะถูกเหงื่อและการเสียดสี ชะล้างออกจากผิวหนังเมื่อเวลาผ่านไป จึงควรทาทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย

เลือกครีมกันแดด ให้เหมาะกับสภาพผิวอย่างไร

ครีมกันแดดUV

นอกจากคำนึงถึงคุณสมบัติ การใช้งาน อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ สภาพผิวของตนเอง เพราะบางคนผิวบาง แพ้ง่าย บางคนผิวมัน ผิวแห้งแตกต่างกันไป การจะให้ครีมกันแดดสามารถซึมลึกเข้าสู่ผิวได้ดี ไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง ส่วนหนึ่งก็ต้องเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับสภาพผิวของเราเองด้วย

โดยหากเป็นคนผิวหน้ามันง่าย ควรเลือกใช้สูตร Gel หรือ Spray สำหรับผู้ที่มีผิวมันหรือผิวผสม ควรเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดชนิดน้ำนม โลชั่น เจล ที่ระบุว่า ควบคุมความมัน หรือ Oil Control ส่วนผู้ที่มีผิวแห้ง แนะนำผลิตภัณฑ์กันแดดชนิดครีม แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล หากทดลองแล้วชอบก็สามารถใช้ได้ตามใจ โดยให้ทดสอบที่ผิวบริเวณหลังหูหรือท้องแขนก่อนเสมอ ก่อนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ ซึ่งถ้าผลลัพธ์เป็นที่พอใจ ไม่ก่อให้เกิดอาการข้างเคียง ก็สามารถเลือกซื้อมาใช้งานได้เลย

ครีมกันแดด ถึงแม้ปัจจุบันจะมีการพัฒนาจนมีรูปแบบที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม ควรเลือกชนิดที่สามารถป้องกันทั้งรังสี UVA UVB มี SPF 30-50+ และ PA+++ ขึ้นไป ถึงจะเหมาะกับสภาพแสงแดดของบ้านเรา โดยถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีก ควรเลือกซื้อให้เหมาะกับการใช้งาน ไม่ว่าจะใช้ทาหน้า ทาตัว ควรแยกกันชัดเจน หรือถ้าแต่งหน้าเป็นประจำ ก็ควรเลือกชนิดที่เกาะติดผิวแน่น ไม่ลบเลือนง่าย ก็จะทำให้ป้องกันแสงแดดตลอดทั้งวัน ทั้งนี้ ก่อนซื้อผลิตภัณฑ์มาใช้ทุกครั้ง ควรทดลองใช้งานก่อน ด้วยการทาบริเวณหลังหูหรือท้องแขน เพื่อหลีกเลี่ยงจากอาการข้างเคียง และเลือกซื้อครีมกันแดดที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตนเองได้

สำหรับใครที่สนใจ อยากผลิตครีมกันแดด เพื่อจำหน่ายแล้วละก็ ามารถติดต่อเข้ามาได้ที่ SGECHEM เพราะเราเป็นโรงงาน OEM ที่ รับผลิตครีม และเครื่องสำอางและอาหารเสริมครบวงจร ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต ไปจนถึงการออกแบบ สร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ และมีบริการจดทะเบียน อย. ให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของคุณถูกต้องตามกฏหมาย สามารถวางขายแข่งขันทางการตลาดได้อย่างสบายหายห่วง หากสนใจสามารถติดต่อทางโทรศัพท์ หรือ Line ของเราได้เลย Line: @sgechem 065-914-6247