วิตามิน D มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่แพ้วิตามินอื่น แต่เนื่องจากมีที่มาจากแสงแดดเป็นหลัก ทำให้หลายคนชอบหลีกเลี่ยงการสัมผัส จนทำให้เกิดอาการขาดวิตามินดี  แบรนด์อาหารเสริมจำนวนมาก จึงแข่งขันกันผลิต และ จำหน่ายอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของวิตามิน D ออกมา เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภค

ทำไมต้องกินอาหารเสริมวิตามิน D ด้วย มันมีประโยชน์ช่วยอะไรได้บ้าง และ ต้องบริโภคเท่าไหร่ต่อวัน ถึงจะช่วยให้สุขภาพดี SGECHEM มีข้อมูลมาบอก รับรองว่า จะทำให้คุณได้รู้ถึงประโยชน์ของวิตามิน D กันมากขึ้น และอาจถึงเวลาที่คุณจะต้องซื้ออาหารเสริม วิตามินดี มารับประทานกันบ้างแล้ว

วิตามิน D คืออะไร

วิตามินดี

วิตามิน D คือ วิตามินชนิดหนึ่ง มีคุณสมบัติละลายได้ในไขมัน มีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ เช่น สามารถช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดี ทำให้สุขภาพฟันและกระดูกแข็งแรง ตลอดจนมีบทบาทต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ ระบบภูมิคุ้มกัน ไปจนถึงเซลล์ในร่างกายให้ทำงานปกติ จึงเป็นวิตามินชนิดหนึ่งที่ร่างกายต้องการ

โดยคนเราจะได้รับวิตามินดี ต่อเมื่อได้รับผ่านทางแสงแดงและการทานอาหารที่มีวิตามินดีเข้ามาเท่านั้น ร่างกายสร้างเองไม่ได้ โดยอาหารที่มีวิตามินดีสูง เช่น ปลาที่มีไขมันสูง ไข่ เนย ตับ ตับปลาค็อด น้ำมันชนิดต่าง ฯลฯ

ประโยชน์ของวิตามิน D

วิตามิน D

1. ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดี

เมื่อร่างกายได้รับวิตามิน D เพียงพอ จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น จากการเข้าไปปรับค่าความเป็นกรด-ด่าง ในกระเพาะอาหารให้มีความสมดุล ทำให้เมื่อรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นมวัว ชีส เนื้อปลาชนิดต่าง ๆ ก็จะทำให้แคลเซียมถูกดูดซึมได้ดี ส่งผลให้สุขภาพฟันและกระดูกแข็งแรง

2. กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น

จากงานวิจัยใหม่ ๆ พบว่า วิตามินดี มีส่วนช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (Immune System) ให้ทำงานอย่างแข็งขันมากขึ้น เมื่อมีการค้นพบว่าภายในเซลล์ของคนเราจะมีตัวรับที่รอจับกับวิตามินดีอยู่เรียกว่า Vitamin D Receptor ซึ่งเมื่อจับและเข้าไปรวมกันกับเซลล์เม็ดเลือดขาวแล้ว ก็จะช่วยเพิ่มจำนวนและกระตุ้นให้เซลล์เม็ดเลือดขาว ทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาคุกคามร่างกาย เช่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส เซลล์มะเร็ง ได้ดีมากขึ้น โดยปัจจุบันมีงานวิจัยมากมายที่สนับสนุนการให้วิตามินดีเสริมเพื่อช่วยต้านโรคมะเร็งต่าง ๆ เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colon Cancer) มะเร็งเต้านม (Breast Cancer) และมะเร็งต่อมลูกหมาก (Prostate Cancer)

3. มีส่วนช่วยในการบำรุงผิว

วิตามินดีมีส่วนช่วยในบำรุงผิว เนื่องจากเซลล์ผิวหนังที่มีชื่อว่า คีราติโนไซด์ (Keratinocytes) เมื่อได้รับแสงแดด จะเปลี่ยนรังสี UVB และ คอเลสเตอรอลดีในร่างกาย ที่มีชื่อว่า 7-Dehydrocholesterol (7-DHC) ให้กลายเป็นวิตามิน D ซึ่งจะช่วยในการแบ่งเซลล์ (Cell Proliferation) และพัฒนาเซลล์ผิว เพื่อไปทำหน้าที่ซ่อมแซมส่วนสึกหรอต่าง ๆ ทำให้ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว (Delay Skin Aging) ลดการเกิดรอยเหี่ยวย่น หน้าดูสดใส เต่งตึง แลดูอ่อนกว่าวัย รวมถึงยังช่วยลดการอักเสบ หรือ แผลบนผิวหนัง เช่น สิว หรือ โรคสะเก็ดเงิน ได้อีกด้วย

4. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย

ด้วยมีคุณสมบัติในการช่วยนำออกซิเจนในหลอดเลือด ให้นำไปเลี้ยงกล้ามเนื้อในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดี และยังช่วยลดอาการเมื่อยล้า อาการอักเสบ ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ทนทานมากขึ้น จึงมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกายให้ดีขึ้นได้มากกว่าเดิม โดยเฉพาะกีฬาที่มีความหนักและต่อเนื่องเป็นเวลานาน เช่น การวิ่งระยะไกล  (Long – Distance Running) การปั่นจักรยาน (Cycling) ไตรกีฬา (Triathlons)

5. ป้องกันโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง

การได้รับวิตามินดีที่เพียงพอ มีส่วนช่วยให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาล (Glucose Metabolism) ได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ และ เพิ่มการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ป้งอกันโรคเบาหวานได้ โดยเฉพาะโรคเบาหวานชนิดที่ 2 รวมถึงยังอาจมีความสัมพันธ์ในการช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) และโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Cardiovascular Diseases) อีกด้วย

วิตามิน D กับ ประโยชน์ในด้านการเป็นอาหารเสริม

วิตามินดี

จากคุณประโยชน์มากมายของ วิตามิน D ที่มีต่อร่างกาย ทำให้ใครก็ตาม ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ควรได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอในแต่ละวัน เพื่อให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้ปกติ และมีสุขภาพที่แข็งแรง อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่วิตามินชนิดนี้ จะได้รับก็ต่อเมื่อร่างกายได้รับแสงแดด เพื่อทำการสังเคราะห์ออกมาเป็นวิตามิน D เข้าสู่ภายใน ทำให้คนไทยจำนวนมาก มักมีอาการขาดวิตามิน D อันเนื่องมาจากสาเหตุหลัก ๆ คือ กลัวแดดร้อน หรือ กลัวผิวดำคล้ำ หลายคนจึงมักที่จะหลีกเลี่ยง ครั้นจะรับประทานอาหารเพื่อทดแทน ก็มักทานได้ไม่เพียงพอ ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอตามที่ควรจะเป็น

โดยจากการวิจัยที่ได้ตีพิมพ์ใน Bangkok Medical Journal ปี 2015 เก็บข้อมูลพนักงานออฟฟิศ 211 แห่งทั่วกรุงเทพ พบว่า 36.5% หรือทุก 1 ใน 3 คนของพนักงานออฟฟิศขาดวิตามินดี นอกจากนี้ คนบางกลุ่มยังมีความเสี่ยงที่จะขาดวิตามินดีมากกว่าคนทั่วไป เช่น คนที่มีผิวสีเข้ม (Dark – Colored Skin) ผู้สูงอายุ (Elderly Patients) ผู้ป่วยโรคไต (Kidney Diseases) ผู้ป่วยโรคตับ (Liver Diseases) และคนที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน (Obese Patients)

ด้วยเหตุนี้ อาหารเสริม ที่มีส่วนผสมของวิตามิน D จึงได้กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้บริโภคยุคใหม่ เพราะสามารถทานได้ง่าย และทำให้ได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอในแต่ละวัน นั่นจึงทำให้คนจำนวนไม่น้อยนิยมที่จะทานวิตามิน D ในรูปแบบอาหารเสริมกันมากขึ้น โดยปัจจุบันนั้น อาหารเสริมวิตามิน D ส่วนใหญ่ ถูกผลิตออกมาในรูปแบบ ชนิดเม็ด เป็นหลัก โดยอาจจะผสมกับวิตามินอื่น หรือ สารอาหารอื่น ๆ บ้างเช่น วิตามิน B12 วิตามินเค แคลเซียม ฯลฯ

ทั้งนี้ ผู้ที่ควรทานคือ ผู้ที่ไปวัดระดับวิตามิน D ในเลือดแล้ว พบว่ามีปริมาณน้อยกว่า 30 ไมโครกรัมต่อลิตร เท่านั้น หากมีปริมาณวิตามินดี อยู่ที่ 30-50 ไมโครกรัมต่อลิตร ถือว่าปกติ ไม่ควรทานเพิ่ม เพราะวิตามิน D เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ร่างกายไม่สามารถขับออกได้ หากรับประทานเกินความจำเป็น อาจตกค้างและเป็นพิษต่อร่างกายได้นั่นเอง

วิตามิน D ชนิดไหน ที่นำมาทำอาหารเสริม

วิตามินดี

ในปัจจุบัน วิตามินดี ที่นำมาผลิตอาหารเสริม ประกอบด้วย 2 ชนิดด้วยกันคือ วิตามินดี2 (เออร์โกแคลซิเฟอรอล) และ วิตามินดี3 (คอเลแคลซิเฟอรอล) ซึ่งวิตามิน ดี2 จะได้มาจากการสังเคราะห์จากอาหาร เช่น เห็ด หรือ พืชที่สัมผัสกับรังสี UV ในขณะที่วิตามิน ดี3 จะเป็นวิตามินดี ที่เกิดจากผิวหนังสังเคราะห์ขึ้น เมื่อสัมผัสกับรังสียูวีหรือแสงแดดในปริมาณที่เพียงพอ

ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นวิตามิน D เหมือนกัน แต่เมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพแล้ว พบว่า วิตามิน ดี3 นั้น มีประสิทธิภาพมากกว่า เนื่องจากงานวิจัยโดย Heaney .RP ในปี 2010 พบว่า วิตามินดี3 ให้ประสิทธิภาพการเพิ่มระดับวิตามินดีในเลือด ได้ดีกว่าวิตามิน ดี2 มากกว่าถึง 56-87% ทีเดียว นอกจากนี้ วิตามิน ดี3 ยังสามารถเก็บสะสมไว้ในเนื้อเยื่อไขมัน ได้ดีกว่าวิตามินดี2 มากกว่า 3 เท่าอีกด้วย

โดยสรุปจึงอาจกล่าวได้ว่า หากต้องการซื้ออาหารเสริมวิตามิน D มารับประทาน ควรเลือกแบบที่มีวิตามิน ดี3 เป็นส่วนประกอบ โดยที่คน ๆ นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีปริมาณวิตามินดี ในเลือดต่ำกว่า 30 nmol/l เท่านั้น ถึงควรจะซื้ออาหารเสริมวิตามิน D มารับประทาน

วิตามิน D เป็นอีกหนึ่งวิตามินที่ร่างกายจะขาดไม่ได้เลย เพราะช่วยให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้ปกติ และยังมีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณของเราให้สุขภาพดี เปล่งปลั่งทั้งจากภายนอกและภายใน ดังนั้น หากใครอยากมีสุขภาพที่ดีขึ้นแล้วละก็ แนะนำให้ตากแดดช่วงเช้าตรู่เยอะ ๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามิน D เพียงพอในแต่ละวัน แต่หากกลัวแดดร้อน รับประทานอาหารทดแทน ก็ยังไม่เพียงพอ ก็สามารถทานวิตามิน D ในรูปแบบอาหารเสริมแทนก็ได้ จะช่วยให้คุณมีร่างกายที่แข็งแรง และสุขภาพดีขึ้นอย่างแน่นอน

สนใจผลิตอาหารเสริม ที่มีส่วนผสมของวิตามิน D สามารถติดต่อเข้ามาได้ที่ SGECHEM เพราะเราเป็นโรงงาน OEM ที่ผลิตอาหารเสริมครบวงจร ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต ไปจนถึงการออกแบบ สร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ และมีบริการจดทะเบียน อย. ให้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมของคุณถูกต้องตามกฏหมาย สามารถวางขายแข่งขันทางการตลาดได้อย่างสบายหายห่วง หากสนใจสามารถคลิกลิ้งก์เว็บไชต์ที่ https://sgechem.com/ หรือติดต่อทางโทรศัพท์ หรือ Line ของเราได้เลย

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ