ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เครื่องสําอางที่ทําให้ผิวขาวได้รับความนิยมมาก บริษัทเครื่องสําอางจึงได้คิดค้นผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในการผลิตครีมหน้าขาวใสเพื่อจำหน่าย ซึ่งหลายคนอาจจะไม่รู้ว่าส่วนผสมในครีมนั้นมักจะมีสาร ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) เป็นสารเคมีซึ่งเป็นที่นิยมในการนํามาเตรียมครีมที่ทําให้หน้าขาว เนื่องจากเห็นผลได้เร็ว ไฮโดรควิโนนออกฤทธิ์โดยการการยับยังกระบวนการสร้างเม็ดสีของผิวหนัง ที่เรียกว่า เมลานิน มีผลทำให้ผิวขาวขึ้นได้ แล้วสารไฮโดรควิโนนนี้คืออะไร? มีอันตรายต่อผิวเราจริงหรือ?

SGE CHEM ขอพาไปทำความเข้าใจกับสารชนิดนี้ให้มากขึ้นกัน ?


ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) คืออะไร?

ไฮโดรควิโนนเป็นยาทาผิวหนังที่ช่วยยับยั้งกระบวนการเปลี่ยนแปลงของสีผิว นำมาใช้รักษาภาวะผิวหนังสร้างเม็ดสีมากผิดปกติจนทำให้เกิดรอยดำ ฝ้า หรือกระ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการตั้งครรภ์ การใช้ยาคุมกำเนิด การใช้ยาฮอร์โมน หรือการบาดเจ็บที่ผิวหนัง นอกจากนี้อาจใช้รักษาโรคอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ด้วย

210218-Content-ไฮโดรควิโนน-(Hydroquinone)-คืออะไร-edit02


การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนนั้นควรใช้กับผู้ที่มีปัญหาฝ้า หรือรอยด่างดำจากสิวที่รุนแรงและจะต้องมีเปอร์เซ็นต์ของตัวยาที่แน่นอนระบุอยู่ นอกจากนี้ ควรใช้ในระยะเวลาที่จำกัด ไม่ควรใช้นานเกินไป และไม่ควรหยุดใช้ยาทันทีเนื่องจากอาจจะทำให้ผิวคล้ำลงกว่าเดิมได้จากการที่ผิวหนังเร่งผลิตเซลล์เม็ดสีมาทดแทน นอกจากนี้ ไฮโดรควิโนนเป็นสารที่ทำปฏิกิริยากับแสงแดด ซึ่งหากทายาที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนแล้วไม่ทาครีมกันแดด ฝ้าจะดำกว่าเดิมได้

ยาไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) มีข้อห้ามใช้และอาจเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้นการใช้ยาควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรเสมอ

**เป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง ตามประกาศของ อย. มักพบการลักลอบใส่ในครีมหน้าขาว ลดฝ้า ลดกระ เพื่อให้ได้ผลเร็ว


ข้อบ่งใช้ในการใช้ไฮโดรควิโนน มีอะไรบ้าง?

???? วิธีการใช้ยาไฮโดรควิโนน

  • ควรทำตามแนวทางการใช้ยาทั้งหมดบนฉลากยาหรือใช้ยาตามที่แพทย์สั่ง ก่อนใช้ยาควรทายาไฮโดรควิโนนปริมาณน้อย ๆ ลงบริเวณผิวหนังที่ไม่มีอาการบาดเจ็บ แล้วตรวจสอบบริเวณนั้นภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อดูว่ามีผลข้างเคียงที่รุนแรงหรือไม่ หากบริเวณที่ทดสอบนั้นมีอาการคัน รอยแดง บวม หรือแผลพุพอง อย่าใช้ยาไฮโดรควิโนน และติดต่อแพทย์ หากมีแค่อาการรอยแดงระดับเบา ก็สามารถเริ่มต้นการรักษาด้วยยาไฮโดรควิโนน
  • ทายาไฮโดรควิโนนลงบริเวณที่มีอาการ โดยปกติคือวันละสองครั้งหรือตามที่แพทย์กำหนด ยาไฮโดรควิโนนใช้กับผิวหนังเท่านั้น หากใช้ยาอย่างไม่ถูกต้อง อาจทำให้สีผิวขาวขึ้นในแบบที่ไม่ปกติได้ อย่าให้ยาไฮโดรควิโนนเข้าตา จมูก หรือปาก หากยาไฮโดรควิโนนเข้าไปในบริเวณเหล่านี้ ควรรีบล้างออกด้วยน้ำสะอาดปริมาณมาก
  • ยาไฮโดรควิโนนอาจทำให้บริเวณที่รักษามีปฏิกิริยาไวต่อแสงแดดมากขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดเป็นเวลานาน เช่น บูธอาบแดด และโคมไฟแสงอาทิตย์ ควรทาครีมกันแดด และสวมเสื้อผ้าป้องกันบริเวณที่รักษาทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน
  • ใช้ยาไฮโดรควิโนนเป็นประจำ เพื่อให้ได้ประโยชน์จากยาสูงสุด เพื่อให้ง่ายต่อการจำ ควรใช้ยาในเวลาเดียวกันทุกวัน
  • โปรดแจ้งอาการให้แพทย์ทราบ หากอาการของคุณไม่หายหรือแย่ลง หลังจากผ่านไป 2 เดือน


???? การเก็บรักษายาไฮโดรควิโนน

ยาไฮโดรควิโนนควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงหรือความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเกิดความเสียหาย ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาไฮโดรควิโนนบางยี่ห้ออาจจะต้องเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบฉลากยาหรือสอบถามเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัย โปรดเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง

ไม่ควรทิ้งยาไฮโดรควิโนนลงในชักโครก หรือเทลงในท่อระบายน้ำ เว้นแต่ได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้องเมื่อยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้งาน โปรดสอบถามเภสัชกรเพิ่มเติม เกี่ยวกับวิธีการกำจัดยาที่ถูกต้อง


ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) เป็นสารอันตรายจริงหรือ?

ในปัจจุบันนี้ ไฮโดรควิโนนได้ “ถูกสั่งห้าม” ใส่ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่วางจำหน่ายทั่วไป อย่างไรก็ตามในคลินิกที่จ่ายยารักษาฝ้าโดยแพทย์ ยังสามารถจ่ายให้ผู้ป่วยได้ตามความเหมาะสมตามดุลยพินิจของแพทย์ การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ เช่น การหาซื้อครีมทาฝ้ามาใช้เอง อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักจะผสมไฮโดรควิโนนในปริมาณสูงมากกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คือ 3-5% (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำหนดให้ผสมสารไฮโดรควิโนนในการรักษาฝ้าได้ไม่เกิน 2%) ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ได้

210218-Content-ไฮโดรควิโนน-(Hydroquinone)-คืออะไร-edit03


▸ ผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้สารไฮโดรควิโนน

เริ่มจากอาการระคายเคืองต่อผิว เกิดจุดด่างขาวที่หน้า ผิวหน้าดำ เป็นฝ้าถาวร รักษาไม่หาย ทำให้เกิดโรคผิวหนังขึ้น เกิดตุ่มนูนสีดำบริเวณโหนกแก้มและสันจมูก ซึ่งเป็นบริเวณที่ทายาบ่อย ๆ หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานมากกว่า 6 เดือน จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อภายในผิวหนัง ทำให้เกิดเป็นฝ้าถาวรสีน้ำเงินอมดำได้ ซึ่งอาจเกิดจากการที่ผิวหนังมีการปรับตัวให้สร้างเม็ดสีมากขึ้น รวมทั้งเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน

▸อย. ได้ให้ข้อสังเกตว่า เครื่องสำอางที่พบสารอันตราย มักให้รายละเอียดบนฉลากไม่ครบถ้วน เช่น ไม่ระบุแหล่งผลิตครั้งที่ผลิต และวันเดือนปีที่ผลิต ในการเลือกซื้อผู้บริโภคจึงควรระมัดระวังและควรสังเกตฉลากเป็นลำดับแรก ฉลากที่ถูกต้องจะต้องเป็นภาษาไทยมีข้อความบังคับครบถ้วน ได้แก่ ชื่อและประเภทผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบ วิธีใช้ชื่อที่ตั้งแหล่งผลิต วันเดือนปีที่ผลิต และปริมาณสุทธิการซื้อควรซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ไม่ควรซื้อเพราะคำโฆษณาเพียงอย่างเดียว


???? รู้ไหม?
นอกเหนือจากสาร
ไฮโดรควิโนน ยังมีสารอีกตัวที่คนรักความขาวจะต้องระวัง คือ สารปรอท นั่นเอง ซึ่งจะส่งผลให้ผิวบริเวณที่ทา อาจคัน ระคายเคืองหรือเกิดการไหม้ แต่สารปรอทไม่ได้ทำอันตรายกับผิวบริเวณที่ทาเท่านั้น ยังมีโอกาสที่จะซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ทั้งสมองและไขสันหลัง ทำให้เสียการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย และเสียการรับรู้ เช่น การมองเห็น การได้ยิน อีกด้วย

การทำลายอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายที่เกิดจากปรอท เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ไม่สามารถรักษาหรือทำให้กลับมาดีเหมือนเดิมได้ ถ้าทาครีมที่มีส่วนผสมของสารปรอทเป็นเวลานาน ผิวจะบาง แดง แพ้ เกิดผื่นระคายเคือง เล็บที่สัมผัสกับครีมจะบางลง ทำให้หน้าเห่อ คัน จนถึงพุพอง ส่วนระยะยาวคือพอใช้ไปนาน ๆ เกิดการสะสมของสารปรอทอยู่ใต้ผิว ทำให้ผิวคล้ำลง จากที่คิดว่าจะช่วยให้ขาว กลับจะกลายเป็นดำคล้ำลงกว่าเดิม


❝ ด้วยเหตุนี้ เมื่อเลือกเครื่องสำอางครั้งต่อไป ไม่ควรจะเชื่อเพียงคำโฆษณาชวนเชื่อที่เริดหรู แต่ต้องผ่านการพิสูจน์ตรวจสอบเพื่อให้รู้อย่างแท้จริงก่อนว่า เครื่องสำอางชนิดนั้น ๆ มีเครื่องหมายรับประกันจาก อย.หรือไม่ และใส่สาร 2 ตัวนี้ลงไปหรือไม่อย่างไร
เพราะไม่อย่างนั้น คุณอาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตก็ได้ ❞

>>สามารถอ่านบทความต่าง ๆ จาก SGE CHEM ได้ตามนี้เลย<<